เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ สัจธรรมเป็นความจริงแล้วเราแสวงหาสัจธรรมกัน สิ่งที่แสวงหาสัจธรรมเห็นไหม นี่สัจจะความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนพูดความจริงตายหมดเลย แต่ความจริงมันคงที่ ฉะนั้น เราแสวงหาความจริงๆ ของเรา

ความจริงเห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ มันก็มีมืดกับสว่าง มืดกับสว่าง แต่เราสมมุติกันว่าปีใหม่-ปีเก่า ถ้าสมมุติว่าปีใหม่-ปีเก่า วันสิ้นปี วันสิ้นปีเพื่อเป็นมงคลชีวิต เราจะแสวงหาคุณงามความดีกัน ถ้าแสวงหาคุณงามความดีกัน เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธนะ ทุกศาสนาเขาก็ต้องหาที่พึ่งของเขา ลัทธิใดความเชื่อใดเขาก็พยายามเป็นมงคลชีวิตของเขา

แต่เราเป็นชาวพุทธไงมงคลชีวิตของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละทาน การเสียสละทานทำบุญกุศล เราจะมีงานพิธีกรรมต่างๆ อย่างใดก็แล้วแต่ เราก็ต้องมีพระไปทำบุญกุศล ถ้าบุญกุศลเขาทำบุญกุศลของเขา เขาตักบาตร เขาทำกุศลเพื่อบุญของเขา

คำว่า“บุญๆ” บุญคือคุณงามความดีคำว่า “บาปอกุศล” เราไม่ต้องการพบ เราจะทำคุณงามความดี คนที่ทำก็ทำได้ยาก คนที่ทำทำได้ยากเพราะอะไรทำได้ยากเพราะว่าสิ่งที่เขาทำความเชื่อ ความทิฏฐิมานะในใจของเขา เขามีความรู้ความเห็นต่างของเขา ถ้ามีความรู้ความเห็นต่างของเขา การจะทำสิ่งใดความตระหนี่ถี่เหนียวด้วยตัวตนของเขา เขายึดมั่นในความเห็นของเขา แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ ความเชื่อ เราเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะคนโบราณเขาตื่นกลัวกัน เขากราบภูเขา เขากราบดวงอาทิตย์ เขากราบไฟ เขาบูชาไฟ เขาบูชาสิ่งที่เขามองไม่เห็น เขาบูชาเป็นที่พึ่งของเขา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ปฏิเสธทุกๆ อย่างเลย ปฏิเสธทุกๆอย่าง เห็นไหมอตฺตา หิ อตฺตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทำดี-ทำชั่ว เราเป็นคนทำทั้งนั้น ถ้าเราทำทั้งนั้น สิ่งที่เราพลัดพรากจากไป เราทำคุณงามความดี เราอุทิศส่วนกุศลให้อย่างนั้น เพราะอุทิศส่วนกุศลคือความดี ความดีคืออะไร

เวลาคนเรามีปัจจัยเครื่องอาศัยสมบูรณ์ขึ้นมามันก็มีความสุขของเขา คนใดขาดแคลนๆ มันก็เป็นความทุกข์ของเขา ไอ้นี่ความทุกข์ประจำธาตุขันธ์ไง แต่เวลาคนมีความสุขความทุกข์ในหัวใจมันละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น

ฉะนั้นเวลาพลัดพรากการพลัดพรากการพลัดพรากมันต้องพลัดพรากจากกันไป แล้วทำไมมันอาลัยอาวรณ์ต่อกันล่ะ? นี่เพราะความผูกพัน ความผูกพัน ความเคยชิน ความต่างๆ เราต้องพลัดพรากไป สิ่งนี้ให้ทำคุณงามความดีแล้วระลึกถึงกันน้ำใจระลึกถึงกัน

สิ่งที่ว่าทำบุญกุศล ทำทาน เวลาทำทาน มีนักขัตฤกษ์ เขาก็ทำบุญกุศลของเขาไปการทำบุญกุศลแล้วเวลาละเอียดขึ้นไปเขาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เขาก็สวดมนต์ข้ามปีการสวดมนต์เขาว่าทำคุณงามความดีของเขาสงบระงับในใจของเขา นั่นสวดมนต์ข้ามปี ผู้ที่มาประพฤติปฏิบัตินะ ใครที่มาอยู่วัดอยู่วาเราจะภาวนาข้ามปีนะ พุทโธๆ อยู่ข้ามปีเลย

เวลาเขาทำบุญกุศลขึ้นไป เขาหาบุญกุศลของเขา เขาว่าสิ่งนั้นเป็นที่พึ่งอาศัยของเขาเพื่อเป็นมงคลชีวิตของเขามงคลชีวิตเราหาพึ่งจากข้างนอกแต่ถ้าเราภาวนาข้ามปี ใครเป็นคนได้บุญล่ะ ใครเป็นคนมีสติสัมปชัญญะ

เวลาเขาเคานต์ดาวน์กันเขาข้ามปี เขาเคานต์ดาวน์กันที่เข็มนาฬิกา แต่ของเรา เราจะเอาหัวใจนะ เราจะเอาหัวใจของเรา หัวใจของเราสุข-ทุกข์มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเรานะ เราภาวนาข้ามปีการภาวนาข้ามปี เวลามันลึกซึ้งๆ ขึ้นไป

เวลาสมัยครูบาอาจารย์ของเราอยู่ เวลาท่านให้นั่งภาวนาตลอดรุ่งๆ คำว่า “ตลอดรุ่ง” เราทำคุณงามความดีของเราทำคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีมันมีหลากหลาย ดูสิเรามาวัดมาวากันต้องมีปู่ย่าตายายขึ้นมาถึงเด็กน้อยเด็กน้อยเวลาเข้าวัดขึ้นมามันก็สนุกครึกครื้นตามประสาของเด็กน้อย ผู้ใหญ่ของเรา เราจะหาแก่นสารของเราเราจะหาแก่นสารแล้วแก่นสารมันอยู่ที่ไหนล่ะ

เวลาไปวัดไปวา ครูบาอาจารย์ให้ไปวัดหัวใจของเรา ข้อวัตร วัด เราเข้าไปดูสิ่งปลูกสร้างในวัดนั้นสิ่งปลูกสร้างนี่คือศาสนวัตถุศาสนพิธี ศาสนธรรม เวลาเราไปวัดไปวา ถ้าเราวัดใจของเรา ใจของเรามันมีหลักมีเกณฑ์ไหม ถ้าใจของเรามีหลักมีเกณฑ์ ยิ่งสงบสงัดขนาดไหนมันยิ่งมีความสุขขนาดนั้น ยิ่งสงบขนาดไหน ยิ่งเงียบขนาดไหนยิ่งวิเวกขนาดไหน หัวใจมันจะได้สัมผัสสิ่งนั้นถ้าหัวใจได้สัมผัสสิ่งนั้น นั่นเป็นความจริงนะ

เวลาพายุมันเกิด พายุมันเกิดมันพัดสิ่งใดราบเป็นหน้ากลองไปหมดเลย เวลาพายุอารมณ์มันเกิดนะ ความรู้สึกนึกคิดเวลามันเกิดขึ้นมา มันพัดพาหัวใจของเราไปเผชิญกับฟืนกับไฟทั้งนั้นเลยเวลามันจะปล่อยวางขึ้นมา มันจะสงบระงับขึ้นมามันจะเอาอะไรสงบระงับเข้ามามันต้องมีวิธีการสิ

แต่นี่เราก็คิดไง เวลาพายุมันเกิดขึ้นมามันก็พัดเอาหัวใจเรารุนแรง เราบอกพายุมันผ่านไปแล้วก็จบไง นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าพอเรามีสติปัญญาขึ้นมาบอกมันสบายๆ

สบายๆอย่างนั้น ดูสิ คนเราเกิดมามันต้องมีสมาธิ เด็กสมาธิสั้น-สมาธิยาว ถ้าเด็กสมาธิยาว มันทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จ ถ้าสมาธิสั้น มันควบคุมตัวเองไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน คนเราปุถุชนมันก็มีสมาธิอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสมาธิมันก็คนบ้าถ้ามีสมาธิอยู่แล้ว สมาธิคือว่าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าจิตมีหลักมีเกณฑ์ แต่ถ้าเอาความจริงขึ้นมาล่ะ ความจริงขึ้นมา ความจริงมันอยู่ที่ไหนความจริง ความจริงมันต้องมีการกระทำเข้าไป เห็นไหม

เวลาน้ำเสีย เวลาน้ำเสียเขารีไซเคิลขึ้นมา น้ำนั้นสะอาดได้ จิตใจของเรามันเศร้าหมองมันมีความโลภความโกรธความหลง ความหลง หลงในตัวเอง ทิฏฐิมานะมันมีของมันอยู่แล้วล่ะ ถ้าเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันชำแรกเข้าไปถึงตัวฐีติจิต ตัวฐีติจิตคือสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ เพราะสมาธิมันสว่างไสว สมาธิมันมีสติปัญญาพร้อม มันไม่ใช่สมาธิว่างๆว่างๆ เหมือนคนเผลอไผล คนหลับใหล คนหลับใหลมันจะว่างอะไรล่ะ ว่างด้วยการวางยาสลบใช่ไหม

แต่ถ้าความว่าง ความว่างมันพร้อมกับความกระจ่างแจ้ง เวลามันสงบเข้ามา พุทโธๆละเอียดเข้ามาเราก็รู้ มันมหัศจรรย์นะเวลาเราพุทโธๆๆ เวลาลมหายใจมันละเอียดขึ้นมาจนเราวิตกกังวลเวลามันละเอียดเข้าไป “เอ๊ะ! ถ้าลมหายใจขาดแล้วไม่ตายหรือ”

มันไม่ตายหรอก มันไม่ตาย แต่กิเลสมันเร้า กิเลสมันจะโดนควบคุม มันเป็นความเคยชินของใจ

คนเราโดยวิทยาศาสตร์โดยความจริงคนเราต้องหายใจ ถ้าขาดลมหายใจก็ตายแต่นี่ลมหายใจมันละเอียดเพราะจิตมันละเอียด พอจิตมันละเอียดเข้าไป มันละเอียดเข้าไปมันก็ไปตกใจ แต่โดยธรรมชาติเวลาคนหายใจไม่ออก คนขาดใจตาย นั่นคือการตาย แต่อันนี้มันละเอียดแต่เราไม่รู้ว่ามันละเอียด เห็นไหมเราเป็นคนทำเองแท้ๆ เวลาลมหายใจมันละเอียดเข้าไปๆมันไปกลัว ไปกลัว ไปตกใจ ไปต่างๆ นี่ความละเอียดของมัน

สิ่งที่เวลากำหนดพุทโธใช้ปัญญาอบรมสมาธิ น้ำเสีย เราจะกำจัดน้ำเสียหัวใจเรามันเสียหัวใจเรามันมีกิเลสมีตัณหาความทะยานอยาก มีพญามารมันครอบงำอยู่ เราพยายามทำให้เป็นอิสระเห็นไหม เราจะภาวนาข้ามปีภาวนาข้ามภพข้ามชาติ ถ้าเราภาวนาข้ามภพข้ามชาติ ภพชาติมันมาจากไหน เราบอก“คนเราเกิดมาผลของวัฏฏะๆเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันไม่มีหรอก เกิดชาติเดียว ตายแล้วก็จบ”

ถ้าตายแล้วก็จบ มันยืนยันได้ด้วยครอบครัว พ่อแม่คนเดียวกัน ลูกออกมา ๒ คน ๓คน นิสัยไม่มีเหมือนกันสักคนหนึ่ง ถ้ามันเป็นวิทยาศาสตร์เกิดจากพ่อจากแม่คนเดียวกันมันต้องเหมือนกันหมดสิ ทำไมพี่ชายมันดี ทำไมน้องชายมันเกเรทำไมคนเล็กมันเหลวไหล ทำไมมันไม่เหมือนกันสักคนหนึ่งล่ะ ก็เกิดมาจากพ่อแม่คนเดียวกัน นี่มันยืนยันถึงภพชาติ จิตนี้ของเขา ปฏิสนธิจิตเห็นไหม

โดยผลของสายบุญสายกรรมถึงได้มาเกิดเป็นชาติเป็นตระกูลเดียวกันเวลาเกิดขึ้นมาแล้วมุมมองมันแตกต่างกัน นี่พันธุกรรมของจิตเวลาเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันพันธุกรรมจากพ่อจากแม่ทั้งนั้นแหละ แต่พันธุกรรมของจิตนี่เวรกรรมของเขา ถ้าเวรกรรมของเขาเขาคิดดี จิตใจที่ดี อภิชาตบุตรบุตรที่ดี บุตรต่างๆ มันมีของมัน มันยืนยันถึงการเวียนว่ายตายเกิดไง

แล้วเวลาเราจะภาวนาข้ามภพข้ามชาติข้ามภพข้ามชาติมันข้ามที่ไหนล่ะเวลาข้ามภพข้ามชาติ ใครเป็นคนข้ามล่ะเวลาเคานต์ดาวน์ เคานต์ดาวน์กันที่เข็มนาฬิกา เวลาข้ามภพข้ามชาติมันต้องเป็นที่ตัวจิตนี่ไง

ถ้าตัวจิตจิตถ้ามันสงบเข้าไป จิตสงบแล้วมันมีสติ จิตสงบแล้วมันมีความรับรู้ จิตสงบแล้วมีความรับรู้ เรายกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาการฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าการฝึกหัดใช้ปัญญานั่นล่ะคือวิปัสสนา คือปัญญารู้แจ้ง ถ้าปัญญารู้แจ้ง มันจะข้ามภพข้ามชาติด้วยการใช้ปัญญาแยกแยะแยกแยะความเห็นผิดของใจ

ในหัวใจของเรา หัวใจของเรามันมืดบอด ถ้ามันมืดบอด เกิดเกิดอย่างไร เวลาเกิดมา เดี๋ยวนี้เกิดที่ไหน? เกิดที่โรงพยาบาล เกิดในห้องผ่าตัดทั้งนั้นแหละ เวลาเกิดนะ เวลาเกิดเกิดจากพ่อจากแม่ แล้วเกิดมาจากไหนล่ะ แล้วมึงเกิดมาจากไหน

แต่เวลาถ้าจิตมันสงบเข้าไป มันจะเข้าไปสู่ตรงนั้นมันจะเคานต์ดาวน์ มันจะข้ามภพข้ามชาติ มันจะสร้างคุณงามความดีจากจิตใจดวงนี้จิตใจดวงนี้ที่มืดบอด ที่พญามารพาเวียนว่ายตายเกิด จิตดวงนี้มันจะหูตาสว่าง ถ้าจิตดวงนี้หูตาสว่าง เวลากำหนดพุทโธๆๆจิตสงบแล้ว ถ้าจิตมันสงบ มันสว่างไสวของมันเวลามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนานะ มันจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริง

แล้วบอกว่าไม่รู้จักกิเลสไม่เห็นหน้ากิเลสแล้วทำไมไปเห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรมล่ะ เพราะอะไรเพราะกิเลสเป็นนามธรรมครอบครัวของกิเลส กิเลสเป็นนามธรรม มันครอบงำหัวใจนี้มันครอบงำหัวใจ แล้วพอครอบงำแล้วก็เชื่อมัน เกิดทิฏฐิมานะความเห็นของเราว่า “เกิดแล้วก็ชาติเดียวตายแล้วก็จบสิ้นๆ มันจะไปไหนต่อล่ะ”

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้าไป จิตสงบเข้าไปนะเพราะความข้องมิจฉาทิฏฐิสักกายทิฏฐิทิฏฐิความเห็นผิด ทิฏฐิเพราะอะไร ทิฏฐิเพราะเวียนว่ายตายเกิดแล้วมันเชื่อพอเวียนว่ายตายเกิดแต่ละภพแต่ละชาติ ไปเกิดชาติใด ฉันก็เกิดในสถานะนี้ฉันเป็นเทวดาฉันเป็นอินทร์ ฉันเป็นพรหม ฉันเป็นมนุษย์ ฉันเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่เป็นนรกอเวจีก็เป็นฉัน ฉันทั้งนั้นแหละ มันเกิดภพใดชาติใดมันก็ยึดมั่นถือมั่นภพนั้นชาตินั้น

พอมันยึดภพนั้นชาตินั้นมันก็ว่าภพเดียวชาติเดียว มันไม่มีวัฏฏะ มันไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม เวลามันเข้าใจของมันอย่างนั้น เวลามาเกิดเป็นมนุษย์มันก็สักกายทิฏฐิความเห็นผิด เห็นผิดว่านี่สมบัติของเรา ชีวิตก็ของเรา ร่างกายก็ของเรา ทรัพย์สมบัติก็ของเราสรรพสิ่งก็เป็นของเรา แล้วพ่อแม่เป็นของเราไหม

ถ้าพ่อแม่ของเรา พ่อแม่แก่เฒ่าชราภาพไป พ่อแม่ไม่ให้ตายนะ พ่อแม่อยู่กับเรา พ่อแม่ของเรา เห็นไหมนี่สมบัติของเรานะ อย่าใช้อย่าจ่ายมัน เป็นของเรา นี่สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด

เวลาจิตเราสงบมันยกขึ้นวิปัสสนา หูตามันแจ่มแจ้ง หูตามันแจ่มแจ้งเพราะมันยกขึ้นวิปัสสนา ก็ทิฏฐิความเห็นผิดเห็นผิดในกายเห็นผิดในเวทนาเห็นผิดในจิตเห็นผิดในธรรมถ้าเห็นผิด แล้วเห็นถูกเห็นอย่างไรล่ะ

คำว่า“เห็นถูก” เห็นถูกก็พอจิตมันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเห็นกาย เห็นไหม เห็นกายเข้าไป เวลาถ้าจิตมีกำลังของมัน มันใช้กำลังใช้ปัญญา ใช้ปัญญา ปัญญานี้จะเกิดขึ้นจากฐีติจิต ปัญญานี้เกิดจากสัมมาสมาธิถ้ามันไม่เกิดสัมมาสมาธิเวลามันใช้ปัญญานี้เป็นสังขาร ความคิดความปรุง ความแต่งอยู่ใต้อำนาจของพญามาร อยู่ใต้ความเห็นผิด พออยู่ใต้ความเห็นผิด นั่นคืออวิชชา

อวิชชาคือความเห็นผิดความเห็นผิดว่าสรรพสิ่งเป็นของเรา ถ้าสรรพสิ่งเป็นของเรานะเวลาจะภาวนาขึ้นมาก็ปัญญาของเรา เวลาจิตสงบแล้ว ปัญญามันเกิดแล้วปัญญาของเราพอวิปัสสนาแล้ววิปัสสนาแล้วมันขาดแล้วของเรา...ถ้ามีของเราผิดหมด

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงมันเป็นสัจจะสัจจะที่มันเกิดขึ้น พอจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาวิปัสสนาเพราะอะไร เพราะความเห็นผิดเพราะความเห็นผิดมันเกิดสังโยชน์สังโยชน์สักกายทิฏฐิวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันร้อยรัดหัวใจนี้ไว้ นี่เพราะเห็นผิดในภพในชาติไง

ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาวิปัสสนา ถ้าเห็นกายแล้ว ถ้าจิตมันสงบไปเห็นกาย เห็นกายมันสะเทือนหัวใจสะเทือนหัวใจเพราะสังโยชน์มันร้อยรัดสังโยชน์สังโยชน์คือความเห็นผิดสักกายทิฏฐิความเห็นผิดเวลามันเห็นตามความเป็นจริงมันเริ่มเอะใจไง“อ๊ะ! ก็เราเห็นอย่างนั้น เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา พิจารณากายก็เห็นกายโดยพร้อมแล้ว”...เห็นกายกล้องจุลทรรศน์ดีกว่าอีก เดี๋ยวนี้เขาผ่าตัดกันโดยแสงเลเซอร์นะ ผ่าตัดกันโดยทางไกล เขาใช้ทางไกลผ่าตัดเขาเห็นดีกว่าเอ็งอีก แต่เห็นอย่างนั้นเห็นเป็นทางโลก

แต่ถ้าเราเห็นทางใจล่ะ เห็นทางธรรมล่ะ ทางธรรมถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็นของมัน อตฺตา หิ อตฺตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใครประพฤติปฏิบัติคนนั้นจะรู้จะเห็นเองโดยปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกจิตดวงใด จิตดวงนั้นก็ต้องแก้ไขจิตดวงนั้นไป

เราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นชาวพุทธเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ...ใช่เราก็อยู่ในชาติดูสิ เวลามีนักขัตฤกษ์ต่างๆ เขาก็ทำบุญกุศลกันในพระพุทธศาสนา ทำบุญกุศล บุญกุศลนั้นมันก็เป็นพวกที่หัวใจของเขาเข้ามาสู่ศาสนา เวลาเราสวดมนต์ข้ามปีกัน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่ว่ามีหลักมีเกณฑ์ แต่เราจะภาวนาข้ามภพข้ามชาติ เราจะภาวนาข้ามภพข้ามชาติ มันมีโอกาสของเราไงโอกาสที่ว่าในเมื่อทางรัฐบาลเขาให้เป็นวันหยุด วันหยุดนี้ให้เราไปประพฤติปฏิบัติให้ไปวัดไปวาถ้าไปวัดไปวามาวัดหัวใจของเรา

เวลาเราทำหน้าที่การงานเราก็เบื่อหน่าย เราอยากมั่งอยากมี อยากศรีอยากสุขอยากมีทุกอย่างสมความปรารถนา แต่การกระทำของเรา เราก็ต้องการให้สมความปรารถนาของเรา มันมีเรื่อง มีเวรมีกรรม มีเรื่องของสังคม มีเรื่องโอกาสมันเข้ามาเป็นตัวแปร

แต่เวลาเรามาวัดมาวาแล้วมันเป็นเรื่องของเรา เรื่องของเราคนเดียวเลยเรื่องความจริงของเรา นี่ความจริง แล้วการประพฤติปฏิบัติการแสวงหาสัจธรรม มันแสวงหาสัจธรรมมาจากไหน

ถ้าแสวงหาสัจธรรมมาจากตู้พระไตรปิฎกเป็นปริยัติ เราศึกษามาขนาดไหนก็ศึกษามาเป็นแนวทาง แต่เวลาจะเอาจริงขึ้นมามันต้องเป็นความจริง อาหารที่เป็นอาหารดิบเรากินไม่ได้ เราต้องทำให้มันสุกขึ้นมา นี่ก็เหมือนกันหัวใจของเราดิบๆ หัวใจของเราศึกษามามีความรู้มาก แต่มันรู้จักอวิชชารู้จักความไม่รู้ความไม่รู้หมายความว่าอะไร? ความไม่รู้คือมันไม่รู้แจ้งไงแต่เราศึกษามาเป็นแนวทาง มันเป็นโลกียปัญญาปัญญาจากการศึกษา พอศึกษาแล้วเราเข้าสู่ทางจงกรม เข้าสู่การนั่งสมาธิภาวนาให้มันเกิดขึ้นจริงมาจากเรา

หัวใจที่ดิบๆ ทำให้มันสุกเห็นไหม ไม้ที่ดิบๆไม้สดเขาจุดไฟมันไม่ติด เขาต้องไปค้างไว้ ตากแดดไว้ให้ไม้มันแห้ง เขาถึงมาจุดไฟเพื่อเป็นพลังงาน จิตใจของเรา เราปรารถนาปรารถนาอยากประพฤติปฏิบัติเราปรารถนาจะมีคุณธรรม เราปรารถนา แต่จิตใจมันดิบๆมันดิบๆ ดิบๆหมายความว่ามันมีพญามารครอบงำทั้งชาติตระกูลของมันเลย ตั้งแต่ปู่ย่าตายายถึงลูกหลานขึ้นมาเลยมีปู่คืออวิชชาพ่อมันก็กามราคะ ลูกมันก็เป็นอุปาทานหลานเหลนของมันเป็นสักกายทิฏฐิความเห็นผิด มันเป็นตระกูลเลย มันครอบงำหัวใจนี้ไว้ แล้วเราไม่มีกำลังจะไปสู้มันเลย

ทำความสงบของใจเข้ามาให้มันแห้ง ให้ใจมันแห้ง ใจมันสมควรแก่การงาน แล้วยกขึ้นวิปัสสนา เราจะวิปัสสนากัน แล้วถ้าเกิดใช้ปัญญาขึ้นมามันเป็นภาวนามยปัญญา นี่มันเป็นโอกาสของเรานะ เป็นโอกาสของเราเพราะเรายังหนุ่มยังแน่นกันอยู่ เรายังเคลื่อนไหวได้ นั่งสมาธิ เดินจงกรมได้ ถ้าแก่เฒ่าชราภาพไปแล้ว ตอนนั้นจะเสียดาย เพราะงานทางโลกทำไม่จบหรอก ทำแล้วรอลูกหลานมารับมรดกตกทอดกันไป นี่สมบัติเป็นสมบัติสาธารณะ เราใช้ได้เฉพาะปัจจัยเครื่องอาศัยนี้เท่านั้นเวลาตายไปก็ยกไว้ให้กับลูกหลานมัน แล้วสมบัติของเราล่ะสมบัติของเราโอกาสของเรานี่สมบัติของเรานะ

“ก็ทำแล้วหลวงพ่อ ทำแล้วมันเหนื่อยมากทำแล้วมันทำไม่ได้”

ทำแล้วให้เป็นแนวทางเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราถวายทานกันเป็นอามิสบูชาแล้วเวลาปฏิบัติบูชา เราสละบุญกิริยาวัตถุ เราจะอยู่สุขอยู่สบายขนาดไหนก็ได้ทำไมเราต้องมาบังคับตัวเองให้นั่งสมาธิ ทำไมเราต้องบังคับตัวเองให้เดินจงกรม นี้คือเราถวาย เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าจิตสงบเข้ามา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้ามันสงบเข้าไปนะ จิตมันสงบนะ“สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” ถ้าจิตสงบมันตื่นเต้น นี่สิ่งที่ไม่เคยเห็น

ดูสิ พ่อแม่ของเรามีพินัยกรรมไว้ ให้สมบัติกับเรา แล้วพินัยกรรมนั้นต้องเปิดอ่านแล้วถึงจะยกสมบัตินั้นให้เรา นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ ศีลสมาธิ ปัญญาแล้วเราได้แต่ชื่อเราเป็นบริษัท ๔เราเป็นเจ้าของศาสนา เมื่อใดเราประพฤติปฏิบัติ พอจิตมันเข้าสู่สมาธิ นั่นล่ะเราจะได้มรดกตกทอด เราจะได้อริยทรัพย์ เราจะได้ทรัพย์สมบัติตามความเป็นจริง แล้วทรัพย์สมบัตินี้ไม่ต้องฝากธนาคารไหนทรัพย์สมบัตินี้ไม่ต้องให้ใครมาการันตี ทรัพย์สมบัตินี้มันจะฝังหัวใจนี้ไป

ใครทำความสงบของใจได้นะ มันจะฝังใจไปเลยว่าอยากได้สมบัติอย่างนี้อยากได้อารมณ์อย่างนี้ อยากได้สิ่งสิ่งนี้ แล้วถ้าเกิดปัญญา ใครจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ปัญญาไป มันแยกมันแยะเข้าไป เห็นคุณประโยชน์ของมันมหาศาลเลย“ศีล สมาธิปัญญา”

แล้วถ้ามันเสื่อมไป โดยธรรมชาติของคนการกระทำ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันแปรสภาพของมันตลอด ถ้ามันเสื่อม เสื่อมไปจากหัวใจของเรา แต่เราเคยได้สัมผัส เราเคยได้รู้ได้เห็น เราจะขวนขวาย เราจะมีการกระทำของเรา

แล้วถ้าถึงวันสุดท้ายของชีวิต มันไม่มีทางไปแล้ว คนเรานะ พอถึงจุดสุดท้ายของชีวิตเราอยากมีที่พึ่งอาศัย ถ้าจิตมันประวัติมาถึงตรงนี้ จิตมันประวัติมาถึงสิ่งที่เราเคยพบเคยเห็นเวลามันยังสะดวกสบายอยู่มันก็ยังจะเผ่นมันจะส่งออก มันจะหาที่พึ่งข้างนอก เวลามันจนตรอกนะ มันจะเข้าไปสู่สิ่งที่มันเคยประวัติ เคยซับของมันได้ ถ้าจิตไปสู่ตรงนั้นนั่นล่ะสมบัตินั้น

เพราะเวลาจิตมันจะออกจากร่าง คนโบราณจะสอนว่าให้คิดถึงพระไว้ ให้นึกถึงพุทโธไว้ เขาจะให้ประวัติไว้ เกาะกับคุณงามความดีนี้ไป เสวยภพเสวยชาติจะมีหรือไม่มีนั้นเป็นความเชื่อ เรื่องของเขา แต่ความจริงถ้ามันปฏิบัติเข้าไปแล้ว ถ้าไม่มี แล้วความรู้อยู่เต็มหัวอกนี่มันคืออะไร ถ้าไม่มีความรู้สึกนี้มันคืออะไร ถ้าไม่มีสิ่งที่มันทุกข์มันยากในใจนี้มันอยู่ที่ไหน

มันยืนยันกลางหัวใจนะใครทำมากทำน้อยได้ของเขานะนี้คือเราจะปฏิบัติบูชา เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็จะปฏิบัติบูชาพุทธะในหัวใจของเรา เอวัง